วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เทคนิคลดความอ้วน สำหรับสาวออฟฟิศ

1. ปรับพฤติกรรมการกิน


จะขนมห่อ ชาไข่มุก หรือเครื่องดื่มหนักน้ำตาล แต่มีประโยชน์น้อยมาก หากชอบกินก็ควรปรับลดลงและเลิกให้ได้ เพราะของเหล่านี้มักจะพ่วงโซเดียมและน้ำตาล ซึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำและสะสมไขมัน เพิ่มความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในแต่ละมื้อให้สมดุล เช่น การกินมื้อเช้าให้อิ่ม เลือกอาหารที่มีประโยชน์ กินโฮลเกรนแทนการกินขนมปังหวาน หรือกินข้าวกับผักและโปรตีนต่าง ๆ เพื่อร่างกายและสมองจะได้มีแรงทำงานได้ทั้งวัน ส่วนมื้อกลางวันก็เบาลง เพราะการกินมื้อกลางวันหนัก ๆ จะทำให้เกิดอาการง่วงและเฉื่อยได้ ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่จะปลุกตัวเองด้วยขนมและเครื่องดื่มตอนบ่าย ๆ ให้เปลี่ยนเป็นผลไม้ เช่น ฝรั่ง แตงโม ชมพู่ หรือกีวี่จะดีกว่า นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวได้ด้วย ส่วนมื้อเย็น ถ้าเลิกเดินเข้าร้านบุฟเฟ่ต์ได้จะดีมาก ลองมองหาผักมาทำสลัด หรือกินยำแทนข้าวหรือของทอดจานโตแทน
 
2. ดื่มน้ำเยอะ ๆ


น้ำช่วยให้กระชุ่มกระชวยขึ้น ขับสารพิษ และหากดื่มน้ำเพียงพอก็จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำสัก 1-2 แก้วก่อนรับประทานอาหาร จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มและกินได้น้อยลง เมื่อเราเติมน้ำให้กับเซลล์ในร่างกายแล้ว ระบบการทำงานและการเผาผลาญก็จะเครื่องฟิตสตาร์ตติดง่ายขึ้นมา สำหรับบางคนที่ชอบดื่มชากาแฟ ก็ควรดื่มน้ำทดแทนเพราะคาเฟอีนจะขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย หลีกเลี่ยงครีมและน้ำตาลจะดีที่สุด เพราะชาและกาแฟเพียว ๆ แบบไม่ใส่ครีมและน้ำตาลช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ด้วยนะ
 
3. ขยับตัว ลุกไปทำนั่นทำนี่บ่อย ๆ


ส่วนใหญ่เราจะอยู่กับคอมพิวเตอร์และการประชุมเป็นหลัก ทำให้ในแต่ละวันต้องถูกสตัฟฟ์ให้อยู่ในท่าเดิมตลอดระยะเวลา 3-6 ชั่วโมง การไม่ขยับปรับเปลี่ยนท่าเลย ไม่ได้ส่งผลแค่ร่างกายที่อ้วนฉุขึ้น แต่จะเกิดอาการปวดหัว ปวดบ่า ปวดหลัง แขนชา จนอาจกลายเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ หากมีโอกาสก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ขยับท่าคลายกล้ามเนื้อบ้าง ลองสละเวลาสัก 5-10 นาทีทำท่าบริหารง่าย ๆ ในออฟฟิศ สมัยนี้มีข้อมูลให้อ่านกันทั่วไปในอินเทอร์เน็ต หรือจะลุกออกจากโต๊ะเดินไปเดินมา ลุกไปถ่ายเอกสารที่อีกมุมห้อง หรือลองใช้ห้องน้ำของชั้นล่างลงมาสัก 2 ชั้นแทน โดยการเดินขึ้นลงบันไดก็ช่วยได้เยอะ แต่ก็ไม่ใช่อู้งานแบบหายไปเลยทีเดียว 15-20 นาทีนะคะ เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จแล้วคุณหัวหน้าจะเพ่งเล็งเอาได้ค่ะ

4. เลิกกินมื้อกลางวันที่โต๊ะทำงาน


การกินมื้อกลางวันไปทำงานไป หรือเล่นคอมฯ ไปไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเราจะไม่ใส่ใจกับอาหารตรงหน้า คล้าย ๆ กับคนที่ดูหนังไปกินป๊อปคอร์นไปนั่นแหละ ที่กินป๊อปคอร์นกองโตโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าอร่อยเพลินเกินห้ามใจ ซึ่งการใส่ใจในการกินและเคี้ยวอาหารนั้น ได้รับการยืนยันแล้วว่าช่วยลดน้ำหนักได้ ในแต่ละคำควรเคี้ยวให้นานขึ้น เพื่อให้กระเพาะทำงานเบาลง ควรเจียดเวลาอย่างน้อย 20 นาที ไปนั่งรับประทานอาหารที่ห้องครัวหรือศูนย์อาหาร อย่างน้อยก็ได้โอกาสเดินออกไปข้างนอก มีเวลาพักกลางวันตั้ง 1 ชั่วโมง ใช้ให้คุ้มค่านะคะ ใช้ให้มีแรงทำงานช่วงบ่ายต่อไปได้จนจบวันค่ะ
 
5. ใช้วันช็อปปิ้งให้เป็นวันที่เสียเหงื่อ


สาวออฟฟิศร้อยทั้งร้อยชอบช็อปปิ้ง เดินดูเสื้อผ้า เครื่องสำอางกันทั้งนั้น ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงจากไหนไปเดินห้างนะคะ แล้วจะปล่อยโอกาสในการเบิร์นหลุดมือได้อย่างไร สาว ๆ ชอบอ้างว่า วันทำงานไม่มีเวลาและเหนื่อยเกินไปสำหรับการออกกำลังกาย แต่วันหยุดก็ชอบไปเดินช็อปปิ้งพักผ่อนใจมากกว่า ถ้าอย่างนั้นมาเบิร์นไขมันด้วยการเดินช็อปกันดีกว่าค่ะ ไอเดียง่าย ๆ เช่น เริ่มต้นวันแห่งการช็อปที่แพลทินัม (อยากช็อปแต่ก็ต้องประหยัดเป็นด้วยนะคะ) เดินทุกชั้น เข้าทุกซอย เดินดูทุกล็อค เสร็จจากนั้นก็เดินมาเซ็นทรัลเวิลด์ เดินสอดส่องไปทั้งห้าง แล้วเดินต่อไปสยามด้วยสกายวอล์ก ทะลุเข้าพารากอน สยามดิสฯ ข้ามไปสยามเซ็นฯ แล้วเดินเลาะไปถึงมาบุญครอง รับรองว่า ได้เบิร์นแคลอรี่และใช้เวลาช็อปทั้งวันอย่างคุ้มค่า ได้ดูสินค้าที่ชอบ ได้อัปเดตเทรนด์ตั้งแต่ถูกไปจนถึงแพง ๆ ด้วยนะ

การลดความอ้วน หากเรามองแค่อุปสรรคทางด้านเวลาเมื่อไหร่ก็ไม่พร้อม ถึงแม้จะนั่งทำงานทั้งวัน เราก็สามารถหักห้ามการกินที่เกินพอดี และขยับให้มากขึ้น หรือชวนเพื่อน ๆ ในทีมมาขยับออกท่าบริหารยืดกล้ามเนื้อไปด้วยกัน ก็ช่วยเพิ่มการเบิร์นไขมันได้ แต่ทางที่ดีที่สุด คือ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนะคะ

ที่มา...ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

นอนอย่างไรให้น้ำหนักลด

การอดนอน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรากินมากขึ้นระหว่างวัน ดังนั้นจึงควรนอนให้เพียงพออย่างน้อย 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน เพราะนี่คือวิธีที่ง่ายและช่วยให้การลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด!


เพราะความมหัศจรรย์ของร่างกายเราคือ ร่างกายเรามีสารควบคุมน้ำหนักอยู่ สารควบคุมน้ำหนักนี้เป็นสารพิเศษที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เอง โดยไม่ต้องใช้สารอาหารใดๆ มากระตุ้น มันมีชื่อว่าฮอร์โมนแลปติน (Leptin) เซลล์ไขมันในร่างกายเราสามารถหลั่งโปรตีนฮอร์โมนชนิดนี้ที่มีชื่อว่าฮอร์โมนแลปติน  ที่ส่งสัญญาณให้สมองระงับความอยากอาหารเมื่อมีไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น พร้อมๆ กับกระตุ้นการเผาผลาญในขณะที่เรานอนหลับ




เพราะฉะนั้นหากเรายิ่งนอนหลับนานและลึก ก็จะยิ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนนี้ได้ง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายลดความอยากอาหารลง ส่งผลให้กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ควบคุมการกินและมีระบบการเผาผลาญอาหารที่มีประสิทธิภาพ พูดง่ายๆ ว่าแค่นอนมากขึ้นก็ส่งผลให้เรากินได้น้อยลง ไม่ต้องอดให้ทรมานแต่อย่างใด


รวมถึงการไม่นอนดึก เพราะการนอนดึก เพิ่มความเสี่ยงของการรู้สึกหิว ทำให้อยากจะหาอะไรมากิน และเมื่อเรากินเสร็จก็เป็นเวลาที่เราต้องนอนจริงๆ กินแล้วนอนเลย ไม่แค่อ้วนนะคะ แต่ยังเสี่ยงเป็นโรคกรดไหลย้อนด้วย


วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562

5 วิธีลดความอ้วนแบบผิดๆ

1. งดมื้อเย็น

หนึ่งในวิธีลดความอ้วนสิ้นคิด ซึ่งก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “มื้อเย็นไม่ใช่สาเหตุของความอ้วน” แต่ความอ้วนมาจากการกินที่มากเกินกว่าร่างกายจะเผาผลาญได้หมดต่างหาก ซึ่งการอดอาหารเป็นเวลานานต่อเนื่องหลายวัน จะทำให้ระบบเผาผลาญพัง และเมื่อกลับมาทานอาหารตามปกติ น้ำหนักตัวอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ  ดังนั้นที่ถูกต้องคือ ควรรับประทานอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย และเลือกแต่อาหารที่มีประโยชน์

2. เลิกกินแป้ง

การไม่รับประทานแป้ง เพราะต้องการลดน้ำหนักนั้น เป็นอีกวิธีที่ผิดอย่างมหันต์เลยทีเดียว เพราะคาร์โบไฮเดรตคือแหล่งพลังงานที่ร่างกายเรานำมาใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน หากร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตในระยะเวลาหนึ่ง อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เมื่อยล้า ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น การงดแป้งจึงไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักที่ดีนัก แต่แนะนำให้เปลี่ยนมาทานแป้งประเภทไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ จะดีกว่า

3. สูตรเร่งด่วนลดความอ้วนภายใน 3-7 วัน

เรียกได้ว่าแชร์กันว่อนอินเตอร์เน็ต สำหรับสูตรตารางอาหารลดความอ้วนแบบเร่งรัด ซึ่งการรับประทานอาหารตามตารางแบบฮาร์ดคอร์นี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการอด เพราะมันไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งหากทานครบกำหนดตามสูตร น้ำหนักอาจจะลดลงก็จริง แต่มันคือน้ำในร่างกายและมวลกล้ามเนื้อที่หายไป ไม่ใช่ไขมันที่เราอยากกำจัดมันทิ้ง แน่นอนเมื่อเรากลับเข้าสู่การกินตามปกติ ร่างกายก็จะเริ่มเข้าสู่โหมดตัวบวมอีกครั้ง


4. ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อการลดน้ำหนัก

มาแรงสุดๆ ในยุคนี้ สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มาพร้อมกับคำบรรยายสุดมหัศจรรย์ กินแล้วผอม หุ่นดี มีสรรพคุณในการดักจับไขมัน แถมยังกินอาหารอะไรก็ได้ที่อยากกิน โดยสามารถตอบโจทย์ให้กับคนที่อยากผอมแต่ขี้เกียจได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่า ยาลดความอ้วนนั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตขนาดไหน หากกินแล้วผอมถาวรจริง ยาเหล่านี้คงไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป แล้วหลายๆ โรงงานก็คงปิดตัวเจ๊งหายกันไปหมดแล้ว แต่ในเมื่อยังมีคนบริโภคยาเหล่านี้อยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว คุณถึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวังวนของโยโย่เอฟเฟค อ้วนผอม ผอมอ้วนอยู่แบบนี้

5. ชุดกระชับสัดส่วนหรือสเตย์

การใส่สเตย์รัดหน้าท้องอาจทำให้รูปร่างของคุณดูดีตอนที่ใส่อยู่ก็จริง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะประสบปัญหา ลงพุง ได้ง่ายกว่าเดิม เพราะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่ได้ถูกใช้งาน สุดท้ายแล้วก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อลีบ กินอะไรเข้าไปนิดๆ หน่อยๆ ก็ลงพุง บอกได้เลยว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของเราคือ “สเตย์ธรรมชาติ” ถ้าไม่อยากลงพุงก็ต้องบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง ไม่ใช่หาอะไรมารัดไว้จนกลายเป็นกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน


ดังนั้นเชื่อเถอะ ไม่มีเป้าหมายไหนที่จะสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายามหรอก หากคุณอยากหุ่นดี ก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อความฟิตแอนด์เฟิร์ม และสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง


สูตรน้ำมะนาว สลายไขมัน

เป็นกระแสฮ็อตฮิตในอินเทอร์เน็ตไม่เสื่อมคลาย สำหรับสูตรลดน้ำหนักด้วยน้ำมะนาว ที่เขาว่ากันว่าได้ผลชะงัดนักแล แต่ถ้าจะให้ได้ประโยชน์เต็มที่และดีต่อสุขภาพ มันต้องมีเคล็ดลับกันหน่อย…ก่อนอื่น รีบมองหามะนาวในครัวด่วนค่ะ!

ส่วนผสม

มะนาว 1 ลูก เกลือประมาณปลายช้อนชา น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา น้ำอุ่น 200 ซีซี

Go on Diet

1. คนน้ำตาลทรายแดงกับเกลือในน้ำอุ่นจนละลาย ทิ้งไว้สักครู่ให้น้ำเย็นลงอีกนิด
2. บีบน้ำมะนาว 1 ลูกตามลงไป
3. ควรดื่มก่อนนอนสัก 15 – 20 นาที จะทำให้ได้รับประโยชน์เต็มที่

Expert Says

เธเรซา เชียง นักเขียนผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและสุขภาพสตรี เขียนถึงคุณประโยชน์ของมะนาวไว้ในหนังสือ New Book คอลัมน์ The Lemon Juice Diet ว่า


“มะนาวมีสรรพคุณช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างดียิ่ง ทั้งน้ำและเปลือก ที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น หากเป็นคนที่ดูแลสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยแล้ว เมื่อใดที่คุณอ้วนขึ้นมา มะนาวจะช่วยให้น้ำหนักของคุณลดลงได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ”


นอกจากนี้มะนาวยังเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด ซึ่งผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เผยว่า การกินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณมากจะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมแล้วกักเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน ซึ่งแคลเซียมที่ว่านี้จะทำหน้าที่เผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น


ที่มา...goodlifeupdate

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สูตรไดเอตด้วยกะหล่ำปลี สไตล์สาวญี่ปุ่น

สูตรนี้ส่งตรงมาจากแดนปลาดิบ แต่ใช่ว่าจะให้คุณกินปลาดิบกันเสียเมื่อไรเพราะในหมู่สาวอวบชาวญี่ปุ่นเขากำลังฮิตกิน “กะหล่ำปลี” กันค่ะ กระซิบบอกนิดหนึ่งว่าวิธีนี้ทำแล้วเห็นผลเร็ว แถมไม่ต้องลงทุนมากเสียด้วยนะ

 
Go on Diet

ใช้กะหล่ำปลีสดๆ 1 หัวใหญ่ ล้างน้ำให้สะอาด ตัดแบ่งเป็น 4 ซีก แล้วกินทีละซีกกับน้ำสลัดไขมันต่ำก่อนอาหารทุกมื้อ

 

Expert Says


คุณจอร์จ มาเทลแจน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สำหรับคนรักสุขภาพ The World’s Healthiest Foods และเจ้าของผลงานเขียนในชื่อเดียวกัน ออกมายืนยันถึงคุณประโยชน์ของกะหล่ำปลีให้เหล่าหนุ่มสาวไซส์เอกซ์แอลได้สบายใจกันว่า กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีเส้นใยอาหาร (รวมถึงวิตามินบี 6 โฟเลต และแมงกานีส) สูงมาก เมื่อกินเข้าไปจะทำให้หนักท้อง แทบไม่ต้องกินข้าวตามก็อิ่มได้ ช่วยให้กินน้อยลงโดยปริยาย นอกจากนี้กะหล่ำปลียังมีกรดทาร์ทาริกที่ช่วยยับยั้งและขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายเป็นไขมัน จึงมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอ

แม้กะหล่ำปลีจะมีคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ แต่ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะและผ่านการปรุงสุก (อาจนึ่งหรือต้ม) ก่อนนะคะ เพราะหากกินกะหล่ำปลีดิบมากเกินไปในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อต่อมไทรอยด์ได้

ที่มา...goodlifeupdate

"ดื่มน้ำเย็น" ลดความอ้วน

ดร.อลัน แมนเดล นายแพทย์ชาวอเมริกัน บอกถึงความแตกต่างระหว่างน้ำอุ่นและน้ำเย็นที่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น โดยบอกว่า ''น้ำอุ่น''ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น และทำให้ความดันโลหิต การหายใจ และหารเต้นของหัวใจลดลง การนอนหลับก็ดีขึ้น แต่น้ำอุ่นกลับชะล้างไขมันออกจากผิว แตกต่างจากน้ำเย็นที่ยังคงไขมันเคลือบผิวไว้ และทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวหนัง ทำให้ดูสุขภาพดีแบบดป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ ''น้ำเย็น'' ยังช่วยเพิ่มระดับพลังงาน กระตุ้นตัวจับอุณหภูมิที่อยุ่ใต้ผิวหนัง เมื่อตัวจับนี้ทำงาน ระบบจะเพิ่มอัตรการเต้นของหัวใจ เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินทั่วร่างกาย ทำให้ร่างกายตื่นตัว มีพลังมากขึ้น  โดย''น้ำเย็น'' ยังเกี่ยวพันโดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพราะหากเราอาบน้ำด้วยน้ำเย็น 1-2 นาทีแรกในการอาบน้ำ จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และทำจนเป็นนิสัย จะทำให้ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวมากกว่าคนที่ไม่อาบน้ำด้วยวิธีนี้


การดื่มน้ำเย็นจะช่วยลดความอ้วนได้อย่างไร?

ดร.อลันบอกว่า การดื่ม''น้ำเย็น''ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ โดยจะเผาแคลอรี่ 8 หน่วยต่อการดื่มน้ำเย็น 1 ถ้วย หากดื่ม 8 ถ้วยจะเผาผลาญแคลอรี่ได้ 50-75 แคลอรี่ และถ้ากินน้ำแข็งด้วยก็จะเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ให้มากขึ้น! เนื่องจากร่างกายจะคงความสมดุลย์และกระตุ้นการเผาผลาญให้อุณหภูมิอยู่ที่ 36.5 องศาอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

แม้การดื่ม''น้ำเย็น''ในทรรศนะของดร.อลันจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญเพิ่มการเผาไขมัน แต่การดื่ม''น้ำเย็น''วิธีเดียวเพื่อลดความอ้วนอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากการลดความอ้วนยังต้องขึ้นกับการรับประทานอาหารที่ดี การออกกำลังกาย การนอนหลับมีคุณภาพและไม่เครียด หากทำได้ครบและถูกวิธี จึงได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องมากกว่า

ที่มา...เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

6 วิธีง่ายๆ เพื่อควบคุมปริมาณไขมันในร่างกาย

1) อย่ากลัวคอเลสเตอรอลจนเกินไป เพราะไขมันก็มีประโยชน์ เราอาจใช้วิธี "กินมันลดไขมัน" ได้ โดยการเลือกรับประทานไขมันดีที่มีมากในปลาทู ทูน่า แซลมอน หรือปลากระป๋องก็ยังได้ อีกทั้งยังมีน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ คาโนล่า น้ำมันมะพร้าว อะโวคาโด และบรรดาพืชน้ำมันต่างๆ รวมถึงไข่แดงที่หลายท่านกลัวก็ยังคงรับประทานได้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะมันช่วยสมองกับกระดูกของเรามาก

2) ให้ระวังไขมันทรานส์ดีกว่า อย่าลืมว่าไขมันที่ร้ายไม่ใช่ไขมันอิ่มตัวเสมอไปแต่เป็นไขมันในรูป "ทรานส์" ที่ทำให้เพิ่มคอเลสเตอรอลแอลดีแอลในร่างกายแต่ไปกดไขมันดีอย่างเอชดีแอลให้ต่ำลง ซึ่งไขมันทรานส์มีมากในเนยเทียม คุกกี้ แครกเกอร์ วิปครีม มันฝรั่งทอด โดนัท และเบเกอรี่อีกหลายชนิด

3) อย่าอดนอนหรือนอนมากไป มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Sleep ว่าสุภาพสตรีที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน และที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืนนั้น พบว่า มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงและไขมันดีตกต่ำ นอกจากนั้น นักวิจัยยังพบว่าการกรน ยังสัมพันธ์กับระดับของไขมันดีที่ต่ำลงด้วย แต่ขอเสริมไว้ว่าอย่ากินมื้อดึกด้วย

4) ให้ใส่ใจเลี่ยงน้ำตาล โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ฉลากบอกว่ามีฟรุกโตส ซูโครส หรือ HFCS (High-Fructose Corn Syrup) เพราะมันอาจเป็นความเสี่ยงใหญ่หลวงต่อการเกิด "ไขมันแทรกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease)" ที่หลายท่านเรียกว่ามันพอกตับ ซึ่งที่จริงแล้วแนวทางปฏิบัติด้านโภชนาการแนะว่าถ้าลดการเพิ่มน้ำตาลลงได้เพียง 5% ของพลังงานทั้งหมดต่อวันก็จะช่วยลดความชุกของไขมันแทรกตับและผลร้ายตามมาของมันได้

5) โปรดเลี่ยงเมรัย ขอให้ใส่ใจเรื่องแอลกอฮอล์ด้วย เพราะจะช่วยคุมคอเลสเตอรอลได้ เพราะแอลกอฮอล์ที่บริโภคเข้าไปทำให้ร่างกายได้แคลอรีเพิ่มซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นน้ำหนักตัวหรือภาวะลงพุง ที่นำมฤตยูมาอยู่ใกล้ตัวขึ้น การที่น้ำหนักตัวเพิ่มสามารถแกล้งให้ค่าคอเลสเตอรอลแอลดีแอลสูงขึ้นได้ ในขณะที่ทำให้ไขมันดีต่ำลง อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจกับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์จุกตับได้อีก

6) ให้เจาะเลือดตรวจไขมัน โดยสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association,AHA) ได้แนะนำไว้ว่าผู้ใหญ่ทุกคนที่มีวัยตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองภาวะไขมันสูงอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงไขมันสูงควรต้องได้รับการตรวจเช่นกัน ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ชายอายุตั้งแต่ 45 ปี หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้สูบบุหรี่ และผู้ที่มีประวัติไขมันสูงในครอบครัว

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ผักสลายไขมันร้าย ช่วยหุ่นสวย สุขภาพดี

1. มะเขือเทศ หลายคนคงรู้ดีว่าสารไลโคปีนในมะเขือเทศเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก สามารถลดระดับของคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด กระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น

2. กระเทียม มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มไขมันชนิดดีให้สูงขึ้น โดยสารที่ชื่อว่าอัลลิซิน นอกจากเป็นผักสมุนไพรช่วยสลายไขมันในเลือดได้ยังช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจ

3. ขิงและข่า ในการศึกษาถึงฤทธิ์ทางยาของขิงพบว่า สามารถลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลและไขมันไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับของไขมันได้ดี

4. ผักกาดหอม รวมถึงผักโขม กะหล่ำปลี บรอกโคลี ผักเคล หรือผักใบเขียวทั้งหลาย อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ปริมาณเส้นใยอาหารสูงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับไขมันออกจากร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง

5. ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา และถั่วต่างๆ จะมีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน ลดการสะสมของไขมันทำให้มีรูปร่างดีดูเพรียวขึ้น ช่วยลดการเกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน เป็นต้น

6. กระเจี๊ยบแดง มีสารแอนโทไซยานินซึ่งมีสรรพคุณช่วยทำให้ไขมันชนิดไม่ดีลดลง และช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีให้มากขึ้น นอกจากนี้ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงต้านการเกิดมะเร็งและชะลอวัยได้ด้วย

7. ดอกคำฝอย มีส่วนประกอบของกรดไลโนเลอิกและกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายชนิด ซึ่งจะมีส่วนในการทำปฏิกิริยากับไขมันที่ไม่ดีในเลือดแล้วขับออกจากร่างกายทางระบบการขับถ่าย ไขมันในร่างกายลดลงและป้องกันโรคต่างๆ

8. หอมหัวใหญ่และหอมแดง หากกินเป็นประจำจะช่วยให้คอเลสเตอรอลลดลง สลายไขมันในเส้นเลือด ลดโอกาสจะเกิดโรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และช่วยรักษาโรคภูมิแพ้หรือหอบหืด

9. พริกชี้ฟ้าและพริกหยวก เป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญหลายชนิด และมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ช่วยลดระดับไขมันได้ดี ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายน้อยลง จึงเป็นผักสลายไขมันที่ไม่ควรพลาด

10. เห็ดฟาง ประกอบด้วยเส้นใยอาหารสูงซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่าย ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และมีสรรพคุณป้องกันโรคหวัด โรคมะเร็ง บำรุงหัวใจ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือด

11. มะเขือยาว ในการทดลองพบว่ามะเขือยาวยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่ผ่านผนังลำไส้ได้ดี ส่งผลให้ไขมันในเส้นเลือดลดลง ไม่มีคอเลสเตอรอลเกาะในเส้นเลือด

ปัจจุบันเรื่องของอาหารการกินที่ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบนั้นอาจจะหลีกเลี่ยงยาก และคนส่วนใหญ่ก็ยังชอบการกินอาหารมีไขมันสูงด้วย แต่เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองควรจะลดปริมาณลง พร้อมกับหันมากินอาหารประเภทผักให้มากขึ้นดีกว่า โดยเฉพาะพืชผักต่างๆ ที่มีสรรพคุณช่วยสลายไขมัน ซึ่งจะทำให้สุขภาพดี ไม่เกิดโรคร้ายได้ง่ายๆ แถมมีรูปร่างที่ดีอีกด้วย

สาวๆห้ามพลาด!!!!!! แค่กินกล้วยให้ถูกเวลา เพียง 10 วัน ลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโล


กล้วย เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ หลังจากที่นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น Fukada Kyoko กินกล้วยเป็นอาหารเช้าและลดน้ำหนักลงไปได้ถึง12กิโลกรัม ทำให้กล้วยกลายเป็นผลไม้ลดความอ้วนยอดฮิตไปซะแล้ว แต่เพื่อนรู้ไหมว่า จริงๆแล้วกินกล้วยตอนมื้อเย็นเห็นผลมากกว่าอีกนะ

ผลการวิจัยของ Matsuoi Tsuneo แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้ชาวญี่ปุ่น ระบุว่า
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะกินอาหารเช้าปริมาณน้อยแต่กินอาหารเย็นเต็มที่ หากเราเปลี่ยนนิสัยการกินมื้อเย็นได้ การลดน้ำหนักก็จะเห็นผลเร็วมากขึ้น
และยังได้แนะนำว่าก่อนอาหารมื้อเย็นให้กินกล้วยสัก 2 ผลตามด้วยน้ำเปล่า 200 มล. อีก 1 แก้ว

หลังจากนั้น 30 นาทีค่อยกินอาหารเย็น เพราะการกินกล้วยจะช่วยลดความอยากอาหาร ไม่ต้องอดอาหารอย่างทรมาน แล้วยังไม่ทำให้กลับมาอ้วนอีก ใช้เวลาสั้นๆแค่ 10วัน ก็สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโลกรัม


ข้อดีของการกินกล้วยในมื้อเย็น

 

 1. สารอาหารมากมายและให้พลังงานต่ำ

กล้วย1ผลให้พลังงาน86กิโลแคลอรี่(ประมาณ100กรัม) เมื่อเปรียบกับข้าว1ถ้วยที่ให้พลังงาน250กิโลแคลอรี่ แล้วกล้วยยังทำให้อิ่มอยู่ท้อง ไม่หิวง่าย ในกล้วยมีทั้งวิตามินB6, วิตามินC,แมกนีเซียม, โพแทสเซียมและแร่ธาตุต่างๆที่จำเป็นในการเสริมสร้างร่างกาย

2. มีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย

ในกล้วยนั้นมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ช่วยเพิ่มจำนวนโปรไบโอติกและระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ และยังมีเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบลำไส้ ลดอาการท้องผูก

3. กระตุ้นโกรทฮอร์โมน ลดริ้วรอยชะลอความแก่

ร่างกายของเรานั้นจะสร้างโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนแห่งการเจริญวัย ช่วยชะลอวัยและเผาผลาญพลังงานมากที่สุดในช่วงเข้านอนเวลา(ช่วงเวลา23.00-01.00) เมื่อเรากินกล้วยในมื้อเย็นแล้ว กรดอาร์จีนีนในกล้วยจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยโกรทฮอร์โมนออกมา ช่วยชะลอความแก่ ลดความอ้วนได้ดี ทั้งนี้ในกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคไตควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน
ประโยชน์ของกล้วยนั้นมีมากมายจริงๆ นับจากวันนี้ฉันจะกินกล้วยทุกวันเลย!


Cr. share-si.com




วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562

รักษาสิวอย่างไร ให้ตรงจุด

สิวเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม, ฮอร์โมน รวมถึงอาหารบางชนิด  ซึ่งนำไปสู่
   
1. การอุดตันของรูขุมขน
    
2. การเพิ่มขึ้นของแบคทีเรียบางชนิดในรูขุมขน (Cutibacterium acnes)

3. การผลิตสารไขมัน (Sebum) มากกว่าปกติ



4. กระบวนการอักเสบของรูขุมขน

 สิวมีหลายรูปแบบ ทั้งสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ คือ เป็นตุ่มแดง ตุ่มหนอง 

การป้องกันควร

หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น ความเครียด เครื่องสำอางบางชนิดที่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน เป็นต้น 

สำหรับอาหารต่อการเกิดสิวนั้น ข้อมูลในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน พบว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) หรือนมชนิดขาดมันเนย อาจกระตุ้นการเกิดสิวได้ในผู้ป่วยบางราย